แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลโดยทั่วไปแสดงในข้อสมมติฐาน
2 ประการของ ดั๊กกลาสแม็คเกรย์เกอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ ทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y ซึ่ง แม็คเกรย์เกอร์ ได้
ศึกษาวิธีการที่ผู้บริหารมองตัวเองสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
แนวคิดนี้ต้องการความคิดในการรับรู้ ธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมีข้อสมมติฐาน 2
ประการเกี่ยวกับลักษณะของบุคคล (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ.2545. : 309-310)
ดังนี้
1 ข้อสมมติฐานเกี่ยวกับทฤษฎี X (TheoryXassumptions) ข้อสมมติฐานแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลของ แม็คเกรย์เกอร์
เกี่ยวกับ ทฤษฎี X ดังนี้
1.1
โดยทั่วไปมนุษย์ไม่ชอบการทำงานและจะหลีกเลี่ยงงานถ้าสามารถทำได้
1.2
จากลักษณะของมนุษย์ที่ไม่ชอบทำงานคนส่วนใหญ่จึงต้องถูกบังคับและควบคุมสั่งการและใช้วิธีการลงโทษ
เพื่อให้ใช้ความพยายามให้เพียงพอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
1.3
มนุษย์โดยเฉลี่ยพอใจกับการถูกบังคับ ต้องการเลี่ยงความรับผิดชอบ
มีความทะเยอทะยานน้อย และต้องการความปลอดภัย
2 ข้อสมมติฐานเกี่ยวกับทฤษฎี Y (TheoryYassumptions) ข้อสมมติฐานแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลของ แม็คเกรย์เกอร์
เกี่ยวกับ ทฤษฎี Y ดังนี้
2.1
มนุษย์ใช้ความพยายามทางกายภาพ และความพยายามด้านจิตใจในการทำงานตามธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหรือพักผ่อน
2.2
การควบคุมภายนอกและอุปสรรคของการลงโทษ ไม่ใช่วิธีการเดียวในการใช้ความพยายามให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
บุคคลจึงใช้การควบคุมตัวเองเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
2.3
ระดับของการให้บรรลุวัตถุประสงค์
ขึ้นอยู่กับขนาดของรางวัลที่สัมพันธ์กับความสำเร็จ
2.4
มนุษย์โดยเฉลี่ยเรียนรู้ภายใต้สภาพที่เหมาะสมไม่เพียงแต่การยอมรับความรับผิดชอบแต่ยังมีการแสวงหาด้วย
2.5
สมรรถภาพของบุคคลขึ้นอยู่กับระดับของการจินตนาการระดับสูง
ความซื่อสัตย์และความคิดสร้างสรรค์
2.6
ภายใต้สภาพของอุตสาหกรรมสมัยใหม่
ศักยภาพที่เฉลียวฉลาดของความเป็นมนุษย์โดยเฉลี่ยมีการใช้ประโยชน์บางส่วน
จากสมมติฐาน 2
ประการที่แตกต่างกัน ทฤษฎี X เป็นการมองโลกในแง่ร้าย
ไม่ยืดหยุ่นการควบคุมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บังคับบัญชาใช้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา
ในทางตรงกันข้ามทฤษฎี Y เป็นการมองโลกในแง่ดี
ยืดหยุ่นได้และเป็นกลไกที่มุ่งที่การควบคุมตนเองร่วมกับความต้องการส่วนตัว
และความต้องการขององค์การอย่างไรก็ตามเป็นที่หน้าสงสัยว่าแต่ละข้อสมมติฐานมีผลกระทบต่อผู้บริหารที่จะแก้ปัญหาในหน้าที่และกิจกรรมในการจัดการหรือไม่ความชัดเจนของทฤษฎี
(ClarificationoftheTheories)แม็คเกรย์เกอร์ ระบุว่าทฤษฎี X และทฤษฎี Y จะมีการตีความที่ผิดพลาด
ประเด็นที่ตามมาจะทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตความไม่เข้าใจ
การรักษาข้อสมมติฐานในแนวคิดเฉพาะอย่างมีดังนี้ (1) ข้อสมมติฐานเกี่ยวกับทฤษฎี X และทฤษฎี Y เป็นเพียงข้อสมมติฐานเท่านั้น
ยังไม่เป็นข้อเสนอแนะในการกำหนด กลยุทธ์การจัดการ ข้อสมมติฐานเหล่านี้จะต้องมีการทดสอบข้อเท็จจริง
นอกจากนั้นข้อสมมติฐานเหล่านี้ยังไม่มีการสนับสนุนด้วยการวิจัยอีกด้วย (2) ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ไม่ได้นำไปประยุกต์ในการจัดการอย่างหนัก
(Hard) หรือเบา (Soft) แนวคิดอย่างหนัก
(Hard) ก็คือการการสร้างคำยืนยันหรือความเป็นปฏิปักษ์
ส่วนแนวคิดอย่างเบา (Soft) หมายถึงผลการจัดการแบบเสรีนิยม (LaissezFaire) และก็ไม่ได้มีความสอดคล้องกับทฤษฎี Y
ผู้บริหารที่ความสามารถจะคำนึงถึงความเป็นไปได้
และข้อจำกัดของบุคคลตลอดจนการปรับพฤติกรรมตามสถานการณ์ (3) ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ไม่ได้มีแนวคิดที่ต่อเนื่องกัน กล่าวคือ
ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
จะมีลักษณะตรงข้ามกันมีแนวคิดด้านความแตกต่างของคนอย่างสิ้นเชิง (4)
การอภิปรายถึงทฤษฎี Y
ว่าไม่ใช่การจัดการในอุดมคติหรือเป็นการต่อต้านการใช้อำนาจหน้าที่ แต่ทฤษฎี Y เป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีของผู้บริหาร และความพยายามในการเป็นผู้นำ (5)
งานและสถานการณ์ที่แตกต่างกันย่อมมีความต้องการแนวคิดด้านการจัดการที่แตกต่างกันด้วย
บางครั้งอำนาจหน้าที่และโครงสร้างจะมีประสิทธิผลสำหรับงานเฉพาะบางอย่าง
มีงานวิจัยหนึ่งซึ่งเสนอแนะว่าแนวคิดที่แตกต่างกันจะมีประสิทธิผลในสถานการณ์ที่แตกต่างกันด้วย
ดังนั้นองค์การที่ผลิตสินค้าก็เป็นสถานการณ์หนึ่งซึ่งต้องการบุคคลและ
สถานการณ์เฉพาะอย่างแนวคิดของการจัดการตามหลักพฤติกรรมศาสตร์ของการจูงใจ
(TheBehavioralManagementApproachtoMotivation) นักทฤษฎีนี้มุ่งที่ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่มีผลกระทบจากการจูงใจ
ซึ่งจากการค้นพบที่โรงงาน เฮวโทรน ของ เอลตัน มาโย
และบุคคลอื่นในเวสเทิร์นอิเลคทริค (WesternElectrion)
ผู้วิจัยการจัดการพฤติกรรมศาสตร์เริ่มสำรวจบทบาทของความสัมพันธ์ของมนุษย์ในการจูงใจ
ผู้บริหารที่ต้องการใช้เทคนิคการจัดการตามหลักพฤติกรรมศาสตร์
จะต้องสร้างความรู้สึกในความสำคัญ และความเกี่ยวข้องของพนักงานในอดีตที่ผ่านมานักทฤษฎีการจัดการตามหลักพฤติกรรมศาสตร์
เช่น ดั๊กกลาสแม็คเกรย์เกอร์ ได้เสนอกระบวนการของการจูงใจ คือ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y โดยทฤษฎี X
มีแนวคิดด้านการจัดการแบบดั้งเดิม (TraditionalManagement)
มองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่สนใจทำงานและต้องมีการบังคับให้ทำงาน ส่วนทฤษฎี Y
มีแนวคิดว่าพนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสนใจในการทำงานที่มีความสำคัญ
แม็คเกรย์เกอร์
เชื่อว่าพนักงานเต็มใจที่จะให้ผลประโยชน์และใช้สติปัญญาในการทำงานให้กับองค์การ
โดยเสนอว่าผู้บริหารควรจูงใจพนักงานโดยการให้โอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
และให้เสรีภาพในการเลือกวิธีการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
บทบาทของผู้บริหารในความหมายของ แม็คเกรย์เกอร์ ไม่ใช่การควบคุมพนักงาน
แต่จะต้องสนับสนุนให้เห็นถึงความต้องการขององค์การ และแปลงความต้องการนี้มาสู่ความต้องการของพนักงาน
เพื่อให้พนักงานสามารถควบคุมตัวเองและการทำงานที่จะสามารถสนองการจูงใจได้จากการศึกษาทฤษฎี
2 ปัจจัยของ เฮอร์เบิร์ก (Herzberg’sTwo-factorTheory)
และทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ
แม็คเกรย์เกอร์
สรุปได้ว่าทฤษฎีทั้ง
2 ทฤษฎีที่ว่าด้วยพฤติกรรมของคนซึ่งการที่จะทำให้คนต่าง ๆ
เหล่านั้นมีพฤติกรรมไปในทางที่ดี สร้างสรรค์
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติงานนั้น
จำเป็นจะต้องมีการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ
ซึ่งจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและประโยชน์ต่อองค์การ
ซึ่งจะทำให้องค์การนั้น ๆ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในที่สุด
หลักการและแนวคิด
ทฤษฎีของแม็กซ์เกร์เกอร์
มีฐานคดีในการมองคนที่อยู่ในองค์การแยกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.
ทฤษฎี X ถือว่า
-
คนโดยทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเลี่ยงงาน
-
ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับชอบ ปรารถนาที่จะเป็นผู้ตามมากกว่า
-
เห็นแก่ตัว เพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ
-
ไม่ฉลาด
2.
ทฤษฎี Y :เห็นว่า
-
คนชอบทำงาน ไม่ได้เป็นคนเกียจคร้าน
-
การควบคุมภายนอก ไม่ใช่เป็นวิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน
คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้
-
ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานเข้ามาตามศักยภาพ
เป็นรางวัลที่มีความสำคัญที่จะทำให้คนมีความผูกพันอยู่กับองค์การ
-
คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป
-
คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ
-
ในปัจจุบันศักยภาพของคนยังไม่ได้รับการนำไปใช้
การนำไปใช้
ทฤษฎี
X
ก็คือ ภาพพจน์ของคน ในแนวมนุษยสัมพันธ์
ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้
การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอำนาจ
การมอบหมายอำนาจ หน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงาน โดยยึดเป้าหมาย
จึงเห้ได้ว่าข้อเสนอการปรับปรุงงานของ McGragorเป็นการย้ำให้เห็นความสำคัญของคน
และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมขององค์การ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของมนุษย์
นิยมที่จะเห็นว่าคนมาก่อนองค์การ
มนุษย์นิยมต้องการหาจุดที่พบกันได้
แต่ต้องการรักษาความมีเสรีภาพไว้ การมองคนว่าเป็นประเภท X หรือ Y นั้นเป็นการช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทำให้รู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดี
หรือนายที่ดี ซึ่งเรียกการมองแบบนี้ว่า Polarization
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น